ยูเรีย (46-0-0) VS แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต่างกันอย่างไร?

ปุ๋ยไนโตรเจนถือเป็นหัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตของพืช เพราะไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบหลักของกรดอะมิโน โปรตีน คลอโรฟิลล์ และสารเมตาบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสง ยูเรีย (46-0-0) และแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) เป็นปุ๋ยไนโตรเจนที่นิยมที่สุดในภาคเกษตร ทั้งสองชนิดมีบทบาทสำคัญ แต่ในเชิงเคมีและพฤติกรรมในดินกลับแตกต่างกันอย่างมาก บทความนี้จะเจาะลึกทุกประเด็น ทั้งกระบวนการเปลี่ยนรูปปุ๋ยในดิน (Nitrogen Transformation), ความเคลื่อนที่ในดิน, ผลต่อดิน, ผลต่อรากพืช และการเลือกใช้ตามพืชแต่ละชนิด


1. ยูเรีย (46-0-0) คืออะไร?

ยูเรีย หรือ Carbamide คือปุ๋ยไนโตรเจนเข้มข้นสูงที่สุดชนิดหนึ่ง มีไนโตรเจน 46% อยู่ในรูป ยูเรีย (CO(NH₂)₂) ซึ่งเป็นโมเลกุลอินทรีย์สังเคราะห์ แต่พืชไม่สามารถดูดซึมรูปนี้ได้ทันที ต้องผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์โดยเอนไซม์ ยูรีเอส (Urease) ในดิน

กระบวนการเปลี่ยนรูปของยูเรีย

  1. Urea → Ammonium Carbonate (โดยยูรีเอส)
  2. Ammonium Carbonate แตกตัว → NH₄⁺ (แอมโมเนียม) + NH₃ (แอมโมเนีย)
  3. NH₄⁺ → Nitrate (NO₃⁻) ผ่านการไนตริฟิเคชัน

ผลที่เกิดขึ้นในดิน

  • หากยูเรียถูกวางบนผิวดินโดยไม่มีน้ำ → NH₃ ระเหยสูงมาก
  • หากมีอินทรียวัตถุมาก → การสูญเสียยิ่งเพิ่ม
  • ทำให้ดิน เป็นด่างชั่วคราว ช่วงการสลายตัวของยูเรีย

ประโยชน์เด่น

  • ให้ไนโตรเจนสูง ใช้น้อยแต่เห็นผลเร็ว
  • ละลายง่าย เหมาะกับระบบน้ำ
  • ราคาถูกกว่าต่อหน่วยไนโตรเจน

ข้อควรระวัง

  • ระเหยง่าย (Volatilization)
  • ไม่ควรใช้ในดินเป็นด่าง pH > 7.5
  • ไม่ควรหว่านบนผิวดินแล้วปล่อยทิ้ง

2. แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) คืออะไร?

แอมโมเนียมซัลเฟตคือปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจน 21% ในรูป แอมโมเนียม (NH₄⁺) ซึ่งพืชดูดซึมได้ทันที และยังมี ซัลเฟอร์ 24% ในรูปซัลเฟต (SO₄²⁻) ที่จำเป็นต่อการสร้างกรดอะมิโน ซิสทีน และเมไทโอนีน

กระบวนการในดิน

  1. NH₄⁺ ดูดซึมทันที
  2. ส่วนที่เหลือถูกจับกับคอลลอยด์ดิน (ยึดแน่น ไม่สูญเสียง่าย)
  3. ถูกเปลี่ยนเป็น NO₃⁻ ผ่านไนตริฟิเคชัน

ผลที่เกิดขึ้น

  • ทำให้ดิน เป็นกรด (Acidifying Effect)
  • ไม่สูญเสียเป็นแก๊สเท่ายูเรีย
  • เพิ่มซัลเฟอร์ให้พืช → ส่งผลให้ใบเข้ม ผลผลิตคุณภาพดีขึ้น

ข้อดีเด่น

  • เสี่ยงสูญเสียต่ำ
  • เหมาะกับดินด่าง ดินทราย และพืชใบเขียว
  • ปลอดภัยต่อราก ไม่ร้อน

ข้อควรระวัง

  • ต้องใช้มากกว่ายูเรียเพื่อให้ได้ N เท่ากัน
  • ทำให้ดินเป็นกรด หากใช้ต่อเนื่องนาน

3. ตารางเปรียบเทียบแบบละเอียด ยูเรีย VS แอมโมเนียมซัลเฟต

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบคุณสมบัติพื้นฐาน

รายการยูเรีย 46-0-0แอมโมเนียมซัลเฟต 21-0-0
รูปไนโตรเจนยูเรีย → NH₄⁺/NO₃⁻NH₄⁺ โดยตรง
% ไนโตรเจน46%21%
องค์ประกอบเสริมไม่มีซัลเฟอร์ 24%
ความสามารถละลายสูงมากสูง
การสูญเสียสูง (ระเหย)ต่ำ
ผลต่อดินด่างเล็กน้อยชั่วคราวเป็นกรดเพิ่มขึ้น

ตารางที่ 2: พฤติกรรมของปุ๋ยในดิน

หัวข้อยูเรียแอมโมเนียมซัลเฟต
การระเหยเป็น NH₃สูงต่ำมาก
การเคลื่อนที่ในดินเคลื่อนที่เร็ว แต่สูญเสียน้ำได้ติดกับดินแน่น ไม่สูญง่าย
การดูดซึมต้องเปลี่ยนรูปก่อนดูดซึมได้ทันที
ความเสี่ยงสะสมเกลือต่ำต่ำ-ปานกลาง
การเปลี่ยนรูปเป็น NO₃⁻เร็วปานกลาง

ตารางที่ 3: ผลต่อดินและค่า pH

รายการยูเรียแอมโมเนียมซัลเฟต
pH ของปุ๋ยกลางกรด
ผลต่อ pH ดินด่างช่วงแรกลด pH ดิน
เหมาะกับดินดินกรด-ดินกลางดินด่าง

ตารางที่ 4: การเลือกใช้ตามชนิดพืช

ชนิดพืชเหมาะกับยูเรียเหมาะกับแอมโมเนียมซัลเฟต
ข้าว
อ้อย
ข้าวโพด
ทุเรียนไม่เหมาะช่วงร้อน✔ เหมาะมาก
ผักใบ✔✔ (ดีที่สุด)
หอม/กระเทียมปานกลาง✔✔✔
พืชในดินด่างไม่เหมาะ✔ เหมาะที่สุด

4. ใช้อย่างไรให้ได้ผลสูงสุด

การใช้ยูเรีย

  • หว่านแล้วต้อง รดน้ำทันที
  • ไม่ใช้บนดินแห้งจัด
  • เหมาะกับระบบน้ำหยด (สลายตัวเร็ว)
  • ใช้ในช่วงเช้าเพื่อลดการระเหย

การใช้แอมโมเนียมซัลเฟต

  • ใช้ได้แม้ดินแห้งกว่า
  • ใช้ได้ดีในฤดูร้อน
  • ช่วยแก้ปัญหาพืชใบเหลืองเพราะขาดซัลเฟอร์
  • ใช้ในสวนทุเรียนเพื่อเร่งใบให้สีเข้ม

5. ข้อสรุปทางวิชาการ

ยูเรีย เหมาะกับ

  • ต้องการไนโตรเจนเร็ว
  • ใช้น้อย งบจำกัด
  • ใช้ร่วมกับน้ำหยด

แอมโมเนียมซัลเฟต เหมาะกับ

  • พืชที่ต้องการใบสีเข้ม
  • ดินด่าง
  • ช่วงอากาศร้อนจัด
  • สวนทุเรียน ผักใบ หอม กระเทียม

ยูเรีย (46-0-0) VS แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต่างกันอย่างไร?

ปุ๋ยไนโตรเจนถือเป็นหัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตของพืช เพราะไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบหลักของกรดอะมิโน โปรตีน คลอโรฟิลล์ และสารเมตาบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสง ยูเรีย (46-0-0) และแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) เป็นปุ๋ยไนโตรเจนที่นิยมที่สุดในภาคเกษตร ทั้งสองชนิดมีบทบาทสำคัญ แต่ในเชิงเคมีและพฤติกรรมในดินกลับแตกต่างกันอย่างมาก บทความนี้จะเจาะลึกทุกประเด็น ทั้งกระบวนการเปลี่ยนรูปปุ๋ยในดิน (Nitrogen Transformation), ความเคลื่อนที่ในดิน, ผลต่อดิน, ผลต่อรากพืช และการเลือกใช้ตามพืชแต่ละชนิด…

วิธีการป้องกันปุ๋ยเคมีตกตะกอนในดิน

ป้องกันดินแน่น–รากไหม้–อาหารล็อก ด้วยหลักวิชาการที่เกษตรกรต้องรู้ “ปุ๋ยเคมีตกตะกอนในดิน” เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พืชดูดอาหารไม่ได้ แม้จะใส่ปุ๋ยดีแค่ไหน เพราะธาตุอาหารจะจับตัวเป็นเกลือแข็ง (Salt Precipitation) ทำให้ดินแน่น รากเดินยาก และระบบดินเสียสมดุล โดยเฉพาะสวนทุเรียนและไม้ผลที่ต้องการดินโปร่งร่วนซุย การเข้าใจสาเหตุและวิธีการป้องกันคือหัวใจสำคัญในการเพิ่มผลผลิตให้ได้จริง บทความนี้จะอธิบาย วิธีป้องกันปุ๋ยเคมีตกตะกอน ตามหลักดิน–น้ำ–ปุ๋ย พร้อมเทคนิคใช้งานได้จริงในภาคสนาม และเป็นมุมมองที่ช่วยให้คุณ ใส่ปุ๋ยได้คุ้มค่า 100%…

ค่า pH ไม่บาลานซ์ — ปุ๋ยดีแค่ไหนก็ไม่คุ้ม!

ทำไมค่า pH จึงสำคัญ? ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับทุเรียน อาการของดินที่ pH ผิดปกติและผลต่อรากทุเรียนใต้ดิน ถ้าดินเป็นกรดมาก (pH < 5.5) ถ้าดินเป็นด่างมาก (pH > 7.0) วิธีวัดค่า pH ที่ถูกต้อง…

ชาวสวนต้องรู้! เคล็ดลับกู้ต้นทุเรียนหลังภัยน้ำท่วม

เมื่อเกิด น้ำท่วมสวนทุเรียน ความเสียหายที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ใบเหลืองหรือผลร่วง แต่รวมถึงปัญหาระยะยาวอย่าง รากเน่า, โคนต้นอับอากาศ, ระบบรากขาดออกซิเจน (oxia deprivation) และ เชื้อราเข้าทำลาย การฟื้นฟูหลังน้ำลดจึงต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนและถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อให้ต้นทุเรียนกลับมาแข็งแรงและให้ผลผลิตได้ตามปกติ บทความนี้รวบรวม แนวทางวิชาการที่ถูกต้อง, หลักการดูแลที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล, และคำแนะนำที่ชาวสวนสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที 1. ทำไมต้นทุเรียนอ่อนแอหลังน้ำท่วม? (หลักวิชาการ)…

5 สาเหตุทุเรียนบิดเบี้ยว พลูไม่เต็ม พร้อมวิธีแก้ตามหลักวิชาการ | ปุ๋ยทุเรียน

หลายสวนประสบปัญหา ทุเรียนบิดเบี้ยว / พูไม่เต็ม / เนื้อไม่สวย แม้จะใส่ปุ๋ยทุเรียนเต็มที่ แต่ผลผลิตก็ยังไม่ได้คุณภาพ สาเหตุของปัญหานี้เกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับ “ระบบราก – ใบ – ธาตุอาหารช่วงพัฒนาผล” บทความนี้สรุป 5 สาเหตุที่ทำให้ทุเรียนพูไม่เต็มตามหลักวิชาการ พร้อมแนวทางแก้ไขที่ทำได้จริงในสวน ✅…