
ทำไมค่า pH จึงสำคัญ?
- ควบคุมความพร้อมของธาตุอาหาร — ค่า pH มีผลต่อการละลายของธาตุอาหารในดิน เช่น เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และโมลิบดีนัม
- ส่งผลต่อจุลินทรีย์ในดิน — สภาพความเป็นกรดหรือด่างจะกำหนดชนิดและกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุและแปรสภาพธาตุอาหาร
- ผลต่อสภาพราก — pH ที่ไม่เหมาะสมทำให้รากอ่อนแอ เสี่ยงต่อโรครากเน่าและการดูดน้ำ/ธาตุอาหารลดลง
- ประสิทธิภาพปุ๋ยลดลง — ปุ๋ยที่ใส่เข้าไปอาจถูกตรึงหรือกลายเป็นรูปแบบที่พืชไม่สามารถใช้ได้
ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับทุเรียน
- ค่าที่แนะนำ: pH 5.5 – 6.5
ช่วงนี้จะทำให้ธาตุอาหารหลายชนิดอยู่ในรูปที่พืชสามารถดูดซึมได้ดี และจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ทำงานได้เต็มที่
อาการของดินที่ pH ผิดปกติและผลต่อรากทุเรียนใต้ดิน
ถ้าดินเป็นกรดมาก (pH < 5.5)
- รากอ่อนแอ แตกแขนงน้อย ดูดน้ำไม่ดี
- ธาตุอะลูมินัม (Al) และแมงกานีส (Mn) อาจละลายมากเกินเป็นพิษต่อราก
- ฟอสฟอรัสถูกตรึง ทำให้พืชขาดฟอสฟอรัสแม้ใส่มาก
- จุลินทรีย์ย่อยอินทรียวัตถุทำงานช้าลง
ถ้าดินเป็นด่างมาก (pH > 7.0)
- เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), และโบรอน (B) อาจไม่ละลาย พืชเกิดอาการซีดเหลืองแม้มีธาตุในดิน
- รากอาจดูดธาตุได้ไม่ครบ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการติดผล

วิธีวัดค่า pH ที่ถูกต้อง (เชิงปฏิบัติ)
- เก็บตัวอย่างดิน — เก็บดินในชั้นราก (0–20 ซม.) รอบทรงพุ่ม 6–8 จุด ผสมรวมกันเป็นตัวอย่างตัวหนึ่ง
- ใช้ชุดทดสอบ pH ดิน — แบบกระดาษหรือชุดทดสอบของห้องปฏิบัติการการเกษตร (kit) — ใช้ง่ายในสนาม
- ส่งตรวจห้องปฏิบัติการ — ให้ผลแม่นยำกว่าและได้รายงานธาตุอาหารอื่นๆ ด้วย (แนะนำถ้าจะปรับใหญ่หรือทำแปลงเชิงพาณิชย์)
- วัดซ้ำ — ควรวัดปีละครั้งหรือก่อนใส่ปุ๋ยหลัก/เตรียมช่วงปลูก
วิธีปรับสภาพ pH ดิน (หลักวิชาการ + ปฏิบัติ)
ปรับให้ pH เพิ่ม (แก้ดินเป็นกรด) — ใช้ ปูนขาว (CaCO₃) หรือ ปูนมาร์ล
- ปูนขาวช่วยเพิ่ม Ca และ pH ในดิน
- อัตรา: ขึ้นกับค่า pH ปัจจุบันและชนิดดิน (ดินทรายต้องการน้อยกว่าดินร่วนหรือดินเหนียว) — ควรอ้างอิงจากการทดลอง/รายงานห้องแล็บ ก่อนกำหนดอัตรา
- วิธีใช้: โรยและคลุกผิว หรือกระจายรอบทรงพุ่มก่อนฤดูฝนเพื่อให้ปูนทำปฏิกิริยาช้าๆ
ปรับให้ pH ลด (แก้ดินเป็นด่าง) — ใช้ ซัลเฟต (เช่น กำมะถัน S หรือซัลเฟตเหล็ก FeSO₄)
- กำมะถันจุลินทรีย์จะแปลงเป็นกรดซัลฟิวริก ทำให้ pH ลดลง (ต้องใช้เวลา และขึ้นกับการทำงานของจุลินทรีย์)
- ซัลเฟตเหล็กลด pH ได้เร็วกว่า แต่ต้องระวังโอเวอร์โดสที่อาจเป็นพิษ
- เพิ่มอินทรียวัตถุ (ปุ๋ยคอก เปลือกพืช) ช่วยบัฟเฟอร์และปรับ pH ในระยะยาว
ปรับแบบผสมผสาน
- เพิ่มอินทรียวัตถุเพื่อปรับโครงสร้างดินและช่วยการบัฟเฟอร์ pH
- ใช้ปุ๋ยเสริมธาตุที่จำเป็นตามผลตรวจแล็บ (เช่น เหล็กเมื่อเกิดโรคใบเหลืองจากด่าง)

การจัดการปุ๋ยเมื่อ pH ยังไม่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุติดธาตุตรึง (เช่น ฟอสเฟตในดินเป็นกรดจะถูกตรึง) โดยไม่ปรับ pH ก่อน
- หากจำเป็นต้องใส่ ให้เลือกปุ๋ยที่ละลายง่ายหรือใส่แบบจุลินทรีย์ช่วย (chelated micronutrients) สำหรับธาตุเหล็กและโบรอนในดินด่าง
- ลดปริมาณการใส่ปุ๋ยครั้งเดียวและแบ่งใส่หลายครั้ง (split application) เพื่อลดการสูญเสียและเพิ่มการดูดซึม
ตารางสรุป: สัญญาณ, สาเหตุ, การแก้ไขด่วน
| อาการที่เห็น | สาเหตุ (pH) | การแก้ไขเบื้องต้น |
|---|---|---|
| ใบเหลืองเฉพาะใบอ่อน | ดินด่าง (Fe ตรึง) | ให้เหล็ก chelate ทางดิน/ราดโคน, ลด pH ระยะยาว |
| ใบเหลืองทั้งต้น รากเน่า | ดินกรดจัด (Al/Mn เป็นพิษ) | ปรับ pH ขึ้นด้วยปูนขาว, ปรับระบายน้ำ |
| ต้นโตช้า แต่ปุ๋ยเยอะ | pH ผิดสมดุล ทำให้ธาตุตรึง | ตรวจ pH, ปรับตามผลแล็บ, ใส่ปุ๋ยแบบ split |
ข้อควรระวังและคำแนะนำเชิงปฏิบัติ
- อย่าปรับ pH แบบเดาสุ่ม — การใส่ปูนขาวหรือซัลเฟตเกินจะทำให้ pH ผันผวนและมีผลเสียตามมา
- ใช้ผลตรวจแล็บเป็นเกณฑ์ — ห้องปฏิบัติการให้คำแนะนำอัตราการใช้ที่เหมาะสมตามชนิดดิน
- คำนึงถึงระบายน้ำ — พื้นที่น้ำขังจะทำให้ปัญหาพัฒนาเร็ว (เช่น รากเน่า)
- บันทึกการจัดการ — จดวันที่ใส่ปูน/ปุ๋ย ปริมาณ และผลหลังการปรับ เพื่อการจัดการระยะยาว
บทสรุป
ค่า pH ของดินเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด ที่กำหนดว่าปุ๋ยที่คุณซื้อจะ “คุ้ม” หรือไม่ ตรวจวัด pH ก่อนทุกครั้งที่เตรียมแปลงหรือก่อนใส่ปุ๋ยหลัก และปรับสภาพดินด้วยวิธีที่เหมาะสมตามผลตรวจ เพื่อให้รากทุเรียนแข็งแรงและให้ผลผลิตคุ้มค่าจริง ๆ
แชร์บทความนี้



ยูเรีย (46-0-0) VS แอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) ต่างกันอย่างไร?
ปุ๋ยไนโตรเจนถือเป็นหัวใจสำคัญของการเจริญเติบโตของพืช เพราะไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบหลักของกรดอะมิโน โปรตีน คลอโรฟิลล์ และสารเมตาบอลิซึมที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์แสง ยูเรีย (46-0-0) และแอมโมเนียมซัลเฟต (21-0-0) เป็นปุ๋ยไนโตรเจนที่นิยมที่สุดในภาคเกษตร ทั้งสองชนิดมีบทบาทสำคัญ แต่ในเชิงเคมีและพฤติกรรมในดินกลับแตกต่างกันอย่างมาก บทความนี้จะเจาะลึกทุกประเด็น ทั้งกระบวนการเปลี่ยนรูปปุ๋ยในดิน (Nitrogen Transformation), ความเคลื่อนที่ในดิน, ผลต่อดิน, ผลต่อรากพืช และการเลือกใช้ตามพืชแต่ละชนิด…
วิธีการป้องกันปุ๋ยเคมีตกตะกอนในดิน
ป้องกันดินแน่น–รากไหม้–อาหารล็อก ด้วยหลักวิชาการที่เกษตรกรต้องรู้ “ปุ๋ยเคมีตกตะกอนในดิน” เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พืชดูดอาหารไม่ได้ แม้จะใส่ปุ๋ยดีแค่ไหน เพราะธาตุอาหารจะจับตัวเป็นเกลือแข็ง (Salt Precipitation) ทำให้ดินแน่น รากเดินยาก และระบบดินเสียสมดุล โดยเฉพาะสวนทุเรียนและไม้ผลที่ต้องการดินโปร่งร่วนซุย การเข้าใจสาเหตุและวิธีการป้องกันคือหัวใจสำคัญในการเพิ่มผลผลิตให้ได้จริง บทความนี้จะอธิบาย วิธีป้องกันปุ๋ยเคมีตกตะกอน ตามหลักดิน–น้ำ–ปุ๋ย พร้อมเทคนิคใช้งานได้จริงในภาคสนาม และเป็นมุมมองที่ช่วยให้คุณ ใส่ปุ๋ยได้คุ้มค่า 100%…
ค่า pH ไม่บาลานซ์ — ปุ๋ยดีแค่ไหนก็ไม่คุ้ม!
ทำไมค่า pH จึงสำคัญ? ค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับทุเรียน อาการของดินที่ pH ผิดปกติและผลต่อรากทุเรียนใต้ดิน ถ้าดินเป็นกรดมาก (pH < 5.5) ถ้าดินเป็นด่างมาก (pH > 7.0) วิธีวัดค่า pH ที่ถูกต้อง…
ชาวสวนต้องรู้! เคล็ดลับกู้ต้นทุเรียนหลังภัยน้ำท่วม
เมื่อเกิด น้ำท่วมสวนทุเรียน ความเสียหายที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ใบเหลืองหรือผลร่วง แต่รวมถึงปัญหาระยะยาวอย่าง รากเน่า, โคนต้นอับอากาศ, ระบบรากขาดออกซิเจน (oxia deprivation) และ เชื้อราเข้าทำลาย การฟื้นฟูหลังน้ำลดจึงต้องทำอย่างเป็นขั้นตอนและถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อให้ต้นทุเรียนกลับมาแข็งแรงและให้ผลผลิตได้ตามปกติ บทความนี้รวบรวม แนวทางวิชาการที่ถูกต้อง, หลักการดูแลที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล, และคำแนะนำที่ชาวสวนสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที 1. ทำไมต้นทุเรียนอ่อนแอหลังน้ำท่วม? (หลักวิชาการ)…
5 สาเหตุทุเรียนบิดเบี้ยว พลูไม่เต็ม พร้อมวิธีแก้ตามหลักวิชาการ | ปุ๋ยทุเรียน
หลายสวนประสบปัญหา ทุเรียนบิดเบี้ยว / พูไม่เต็ม / เนื้อไม่สวย แม้จะใส่ปุ๋ยทุเรียนเต็มที่ แต่ผลผลิตก็ยังไม่ได้คุณภาพ สาเหตุของปัญหานี้เกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับ “ระบบราก – ใบ – ธาตุอาหารช่วงพัฒนาผล” บทความนี้สรุป 5 สาเหตุที่ทำให้ทุเรียนพูไม่เต็มตามหลักวิชาการ พร้อมแนวทางแก้ไขที่ทำได้จริงในสวน ✅…





